วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

ตัวควบคุมความดัน เครื่องเย็น

1.แค๊ปทิวบ์ Capillary Tube

       เป็นอุปกรณ์ลดความดันชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นท่อทองแดงขดขนาดเล็ก โดยจะติดตั้งอยู่ระหว่างแผงคอยล์ร้อน และแผงคอยล์เย็น ทำหน้าที่ลดความดันของน้ำยาที่ออกจากแผงคอยล์ร้อนเพื่อให้ได้อุณหภูมิที่ต่ำ ก่อนฉีดเข้าแผงคอยล์เย็น ข้อมูลจาก แอร์ไทยดอทคอม



2.AEV
การควบคุมสารทำความเย็นชนิดลิ้นเปิด-ปิดอัตโนมัติAutomatic Expansion Valve (ใช้ตัวย่อว่า AEV หรือ AXV)
  ลิ้น เปิดปิดอัตโนมัติ Automatic Expansion Valve มีหน้าที่ควบคุมการไหลของสารทำความเย็นที่จะไหลเข้าไปยัง อีแวปปอเรเตอร์ โดยใช้ความดันด้านต่ำควบคุมการทำงานของลิ้น AEV การทำงานของ AEV คล้ายกับการทำงานของหัวฉีดสเปรย์ ขณะที่คอมเพรสเซอร์ทำงานสารทำความเย็นในสภาพของเหลวจะถูกฉีดเป็นไอคล้ายหมอก
เข้าไปในอีแวปปอเรเตอร์ การที่ของเหลวถูกฉีดเป็นไอโดยไม่มีของเหลวไหลผ่านเข้าไปภายในอีแวปปอเรเตอร์เลย เราจึงเรียกระบบทำความเย็นที่ใช้ AEV แบบนี้ว่าระบบแห้ง



ภาพที่ 17-8 หลักการทำงานของความดันที่บังคับให้ลิ้น AEV ทำงานP1 ความดันบรรยากาศ
P2 ความดันในอีแวปปอเรเตอร์
F1 แรงดันสปริงปรับได้
F2 แรงดันสปริงปรับไม่ได้
P3 ความดันของสารทำความเย็นที่จะเข้าไปในอีแวปปอเรเตอร์
หลักการทำงานของลิ้นเปิด-ปิดอัตโนมัติ
หลักการทำงานของลิ้นเปิด-ปิดอัตโนมัติส่วนใหญ่คล้ายกันแม้ว่ารูปร่างจะแตกต่างกันบ้างก็ตาม จากภาพที่ 17-8 แสดงความดันที่บังคับให้ลิ้นทำงาน จากภาพด้านบนเป็นห้องหดตัวหรือขยายตัวได้เรียกว่าเบลโลว์ (Bellow) ภายในเบลโลว์บรรจุแกสซึ่งเมื่อได้รับ อุณหภูมิสูงก็จะขยายตัว และเมื่ออุณหภูมิต่ำแกสจะหดตัวการหดตัวและขยายตัวของแกสมีผลต่อการยืด และหดตัวของเบลโลว์เช่นกัน ดังนั้น P จึงให้เป็นความดันของแกสในเบลโลว์ F1 เป็นแรงดันสปริงที่พยายามกดก้าน Push Rod ดันให้ลิ้นเปิด แต่แรง F2 เป็นแรงดันให้ลิ้นปิด ดังนั้นความดันในอีแวปปอเรเตอร์ P2 ลดลงแรง F1 และ P1 จะมีแรงกดชนะแรง P2 เบลโลว์ขยายตัวรวมกับแรงดันสปริงซึ่งมีมากกว่าก็จะบังคับให้ลิ้นเปิด สารทำความเย็นจะถูกฉีดเป็นไอเข้ามายังอีแวปปอเรเตอร์ เมื่อปริมาณไอของสารทำความเย็นในอีแวปสูงมากพอและสูงกว่าแรง F1 P1 แรงดันสปริงตัวล่าง F2 และแรง P2 ก็จะสูงกว่าแรงกดของเบลโลว์และสปริงตัวบน ผลคือทำให้ลิ้นเลื่อนขึ้นปิดทางเข้าของสารทำความเย็น
ลิ้นปิด-เปิดอัตโนมัติมีลักษณะโครงสร้างห้องความดันอยู่ 2 ประเภทคือ
1. Bellow Type Automatic Expansion Valve
2. Diaphram Type Automatic Expansion Valve
หลักการทำงานส่วนใหญ่คล้ายกันต่างกันที่ห้องสร้างความดันเท่านั้น คือแบบหนึ่งใช้เบลโลว์ (คล้ายหีบเพลงยืด-หดได้) ส่วนอีกแบบหนึ่งใช้แผ่นไดอะแฟรม
การที่ AEV ใช้สปริง 2 ชุดก็เพื่อความสมดุลย์ของแรง และเพื่อให้มีการทำงานนิ่มนวลขึ้น
 

 
ภาพที่17-9 Automatic Expansion Valve ชนิดใช้แผ่นไดอะแฟรมA ฝาครอบยาง    B เกลียวปรับ
 C สปริงปรับ    D ไดอะแฟรม
 E กรอง        F ท่อทางเข้า
 G เกลียวปรับมาจากโรงงาน
 H สปริง        J สปริง
 K เข็ม AEV    L บ่ารองรับเข็ม
 M ด้านส่งแรงดันจากห้องเบลโลว์

3.TEV

ลิ้นปิด-เปิดแบบใช้อุณหภูมิควบคุม Thermostatic Expansion Valve ใช้ตัวย่อว่า (TXV หรือ TEV)
   ตู้เย็นและระบบทำความเย็นในปัจจุบันมักนิยมใช้ลิ้นปิด-เปิดที่ใช้อุณหภูมิเป็นตัวควบคุมเป็นส่วนมาก
ลิ้นแบบใช้อุณหภูมิควบคุมมีหน้าที่รักษาสารทำความเย็นที่ทางออกของอีแวปปอเรเตอร์ให้คงที่สม่ำเสมอ ลิ้นแบบใช้อึณหภูมิควบคุมนั้นสามารถคุมได้ทุกสภาพของสภาวะภาระ (Load ดังนั้นลิ้นชนิดนี้จึงเหมาะสมกับระบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลง load บ่อยๆ
 


ภาพที่ 17-11 แสดงการทำงานของเทอร์โมสแตติคเอกซแพนชั้นวาวล้เเบบเบลโลว์
    จากภาพเทอร์โมสแตติคเอกซแพนชั่นวาวล์ แสดงอุณหภูมิและความดันที่ทำให้ลิ้นทำงาน F1 คือแรงดันจาก Sensing Bulb เป็นแรงที่พยายามดันให้ลิ้น V1 เปิด F2 เป็นแรงดันด้านความดันต่ำที่พยายามดันให้ลิ้นปิด P1 กะเปาะส่งแรงดันมายังห้องไดอะแฟรม หรือขดเบลโลว์ดันให้ลิ้น V1 เปิด, P2 ความดันด้านต่ำ (suction line) คือแรงดันที่พยายามให้ลิ้นปิด T1 อุณหภูมิที่กะเปาะรับความร้อน T2 อุณหภูมิของสารทำความเย็นที่ออกจากอีแวปปอเรเตอร์ด้านความดันต่ำ ลิ้นจะเปิดต่อเมื่อแรง F1 มากกว่าแรง F2 และ F3 ลิ้นปิดเมื่อแรง F1 และ P1 น้อยกว่าแรง F2 และ F3
จากรูป 17-11 TEV ทำงานตามความแตกต่างของความดัน เมื่อระบบทำความเย็นทำงาน สารทำความเย็นใน Sensing Bulb ซึ่งติดอยู่ที่ทางออกของแผงอีแวปปอเรเตอร์ หรือที่ท่อทางด้านดูด (suction line) ณ ที่จุดนี้ Sensing Bulb จะเป็นตัวรับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสารทำความเย็นที่ออกมาจากอีแวปปอเรเตอร์ ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงไม่มากนักเมื่ออุณหภูมิภายใน Sensing Bulb เปลี่ยนแปลงก็จะทำให้ความดันเปลี่ยนแปลงไปด้วย ความดันที่เปลี่ยนแปลงจะกระทำบนด้านหนึ่งของแผ่นไดอะแฟรม P2 เมื่อแผ่นไดอะแฟรมถูกความดัน P2 ก็จะขยายตัวดันก้านส่ง P เลื่อนลง ทำให้ลิ้น V1 ซึ่งติดอยู่บนแกนก้านส่งเปิด แต่ลิ้น V1 จะเปิดได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับแรงดันของสปริง F3 และความดันในอีแวปปอเรเตอร์ซึ่งจะกระทำร่วมกันอยู่ในด้านตรงข้ามกับแรง P3 ถ้าแรงดันสปริง F3 และความดันในอีแวปปอเรเตอร์  P2 มีมากกว่า แรงดัน P2และ F3 ก็จะพยายามดันให้ลิ้นปิด สารทำความเย็นก็ไม่สามารถไหลเข้าไปยังแผงอีเเวปปอเรเตอร์ได้ แต่ถ้าแรงทั้ง 2 ด้านของแผ่นไดอะแฟรมเท่ากัน ลิ้นก็จะอยู่ในสภาพสมดุลย์ แต่ถ้าหากระบบทำความเย็นทำงานความดันทั้งสองด้านจะเปลี่ยนไป ลิ้นจะเปิดหรือปิดขึ้นอยู่กับแรงดันด้านใดมากหรือน้อยกว่ากัน ถ้าแรงดันจากการขยายตัวของแผ่นไดอะแฟรม มากกว่าแรงดัน F3 และ P2 ลิ้นก็จะเปิดแต่ลิ้นจะเปิดมากหรือน้อยเราสามารถตั้งได้โดยปรับความแข็งของสปริง F3 โดยปกติแล้ว TEV จะถูกปรับให้มีอุณหภูมิใดอุณหภูมิหนึ่งแม้จะอยู่ในสภาวะ Load ใดๆ ก็ตาม TEV จะรักษาอุณหภูมิของมันที่ได้ตั้งไว้
ข้อเสียของ Thermostatic Expansion Valve ก็คือไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิ และความดันในอีแวปปอเรเตอร์ให้คงที่ได้
จงจำไว้ว่า TXV ไม่มุ่งเรื่องความดันด้านความดันต่ำ (Lowside) เพียงแต่ต้องการป้อนสารทำความเย็นเข้าไปสู่อีแวปปอเรเตอร์ให้ได้ปริมาณที่เพียงพอไม่มากหรือน้อยเกินไปเท่านั้น




ภาพที่ 17-12 ภาพภาคตัดของจริง แสดงส่วนประกอบและชื่อชิ้นส่วนของเทอร์โม¬สแตติกเอกซแพนชั่นวาวล์ แบบเบลโลว์
    A. นัทสำหรับปรับความแข็งสปริง, B. ซีล, C. ท่อแคปทิ้ว, D. เรือนเบลโลว์ ภายนอก, E. ตัวเรือน TEV ภายนอก, F. กะเปาะ Sensing Bulb สำหรับส่งอุณหภูมิ ไปยังเบลโลว์, G. ชุดเบลโลว์, H. ตะแกรงกรองละเอียด, I. ปะเก็น, J. ท่อทางสารทำความเย็นเข้า, K. แกนเข็ม TXV, L. ซีลกันรั่ว, M. เข็ม TXV, N. บ่ารองรับเข็ม
ในกรณีที่สารทำความเย็นถูกปล่อยจาก TXV เข้าสู่อีแวปปอเรเตอร์มากเกินไป เนื่องจากเกิดความดันภายในท่ออีแวปและความดันที่ด้านท่อทางออกแตกต่างกันมากผิดปกติ ดังนั้นจึงต้องหาทางควบคุมการทำงานของลิ้นเพือให้ระดับความดันภายในและนอกไม่แตกต่างกันมากโดยการควบคุมตัว TXV




4.ตัวควบคุมด้านแรงดันต่ำLow Side 
5.ตัวควบคุมด้านแรงดันสูงHigh Side




น้ำเงินLowแดงHigh
         ระบบการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศจะทำงานวนเวียนเป็นวัฏจักรตลอดเวลาที่คอมเพรสเซอร์ ยังคงทำงานอยู่และน้ำยาที่มีอยู่ในระบบจะไม่มีการสูญเสียไปไหนเลย นอกเสีย จากว่าเกิดการรั่วซึม (Leak) ที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น เนื่องจากในระบบทำความเย็นเบื่องต้นนี้ มีทั้งน้ำยาที่อยู่ในสภาพความดันสูงและอุณหภูมิสูง   กับแรงดันต่ำอุณหภูมิต่ำ จึงมีการแบ่งภาคออกเป็น 2 ภาค
      1. ทางด้านสูง (High Side) ซึ่งจะเริ่มจากทางอัดของคอมเพรสเซอร์ ผ่านคอนเดนเซอร์จนถึง ทางเข้าของอุปกรณ์ลดความดัน ส่วนนี้สารทำความเย็นจะมีทั้งความดันและอุณหภูมิสูงจึงเรียก ว่าทาง High Side 
      2. ทางด้านต่ำ (Low Side) ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ทางออกของอุปกรณ์ลดความดัน ผ่านอิวาพอเรเตอร์ จนถึงทางเข้าของคอมเพรสเซอร์ ส่วนนีจะมีทั้งความดันและอุณหภูมิต่ำจึงเรียกว่าทาง Low Side ระบบปรับอากาศที่ใช้กันอยู่โดยทั่วๆไปจะทำงานเป็นวัฏจักร โดยมักจะมีสิ่งที่ประกอบกันขึ้น มาเป็นระบบปรับอากาศอยู่หลายสิ่งหลายอย่างด้วยกัน

6.Electronic control


เป็นอุปกรควบคุณอุณภูมิ
 คือเครื่องควบคุมที่ทำหน้าที่ในการประมวลผลสัญญาณอินพุตจากเซนเซอร์วัดอุณหภูมิ และสั่งงานเอาต์พุต เพื่อไปควบคุมอุปกรณ์ที่ในการเพิ่มหรือลดอุณภูมิอีกที โดยกระบวนการควบคุมนั้นมีด้วยกันหลากหลายรูปแบบ เช่น ON-OFF Control, PID Control, Fuzzy Logic Control โดยการทำงานคือ จะมีหัววัดอุณหภูมิ หรือ temperature sensor ทำหน้าที่วัดอุณหภูมิส่งมาที่ temperature controller หากอุณหภูมิไม่ได้ตามที่ตั้งไว้ temperature controller จะจ่ายแรงดันไปให้ฮีตเตอร์ heater เพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้ได้ตามที่ผู้ใช้งานต้องการ

current relay

current relay


รีเลย์ (อังกฤษrelay) คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่เป็นสวิตซ์ตัด-ต่อวงจร โดยใช้แม่เหล็กไฟฟ้า[1] และการที่จะให้มันทำงานก็ต้องจ่ายไฟให้มันตามที่กำหนด เพราะเมื่อจ่ายไฟให้กับตัวรีเลย์ มันจะทำให้หน้าสัมผัสติดกัน กลายเป็นวงจรปิด และตรงข้ามทันทีที่ไม่ได้จ่ายไฟให้มัน มันก็จะกลายเป็นวงจรเปิด ไฟที่เราใช้ป้อนให้กับตัวรีเลย์ก็จะเป็นไฟที่มาจาก เพาเวอร์ฯ ของเครื่องเรา ดังนั้นทันทีที่เปิดเครื่อง ก็จะทำให้รีเลย์ทำงาน

ประเภทของรีเลย์

เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์โดยมีหลักการทำงานคล้ายกับ ขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าหรือโซลินอยด์ (solenoid) รีเลย์ใช้ในการควบคุมวงจร ไฟฟ้าได้อย่างหลากหลาย รีเลย์เป็นสวิตช์ควบคุมที่ทำงานด้วยไฟฟ้า แบ่งออกตามลักษณะการใช้งานได้เป็น 2 ประเภทคือ
  1. รีเลย์กำลัง (power relay) หรือมักเรียกกันว่าคอนแทกเตอร์ (Contactor or Magneticcontactor)ใช้ในการควบคุมไฟฟ้ากำลัง มีขนาดใหญ่กว่ารีเลย์ธรรมดา
  2. รีเลย์ควบคุม (control Relay) มีขนาดเล็กกำลังไฟฟ้าต่ำ ใช้ในวงจรควบคุมทั่วไปที่มีกำลังไฟฟ้าไม่มากนัก หรือเพื่อการควบคุมรีเลย์หรือคอนแทกเตอร์ขนาดใหญ่ รีเลย์ควบคุม บางทีเรียกกันง่าย ๆ ว่า "รีเลย์"

ชนิดของรีเลย์

การแบ่งชนิดของรีเลย์สามารถแบ่งได้ 11 แบบ คือ
ชนิดของรีเลย์แบ่งตามลักษณะของคอยล์ หรือ แบ่งตามลักษณะการใช้งาน (Application) ได้แก่รีเลย์ดังต่อไปนี้
  1. รีเลย์กระแส (Current relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยใช้กระแสมีทั้งชนิดกระแสขาด (Under- current) และกระแสเกิน (Over current)
  2. รีเลย์แรงดัน (Voltage relay) คือ รีเลย์ ที่ทำงานโดยใช้แรงดันมีทั้งชนิดแรงดันขาด (Under-voltage) และ แรงดันเกิน (Over voltage)
  3. รีเลย์ช่วย (Auxiliary relay) คือ รีเลย์ที่เวลาใช้งานจะต้องประกอบเข้ากับรีเลย์ชนิดอื่น จึงจะทำงานได้
  4. รีเลย์กำลัง (Power relay) คือ รีเลย์ที่รวมเอาคุณสมบัติของรีเลย์กระแส และรีเลย์แรงดันเข้าด้วยกัน
  5. รีเลย์เวลา (Time relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบ คือ
    1. - รีเลย์กระแสเกินชนิดเวลาผกผันกับกระแส (Inverse time over current relay) คือ รีเลย์ ที่มีเวลาทำงานเป็นส่วนกลับกับกระแส
    2. - รีเลย์กระแสเกินชนิดทำงานทันที (Instantaneous over current relay) คือรีเลย์ที่ทำงานทันทีทันใดเมื่อมีกระแสไหลผ่านเกินกว่าที่กำหนดที่ตั้งไว้
    3. - รีเลย์แบบดิฟฟินิตไทม์เล็ก (Definite time lag relay) คือ รีเลย์ ที่มีเวลาการทำงานไม่ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของกระแสหรือค่าไฟฟ้าอื่นๆ ที่ทำให้เกิดงานขึ้น
    4. - รีเลย์แบบอินเวอสดิฟฟินิตมินิมั่มไทม์เล็ก (Inverse definite time lag relay) คือ รีเลย์ ที่ทำงานโดยรวมเอาคุณสมบัติของเวลาผกผันกับกระแส (Inverse time) และ แบบดิฟฟินิตไทม์แล็ก (Definite time lag relay) เข้าด้วยกัน
  6. รีเลย์กระแสต่าง (Differential relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยอาศัยผลต่างของกระแส
  7. รีเลย์มีทิศ (Directional relay) คือรีเลย์ที่ทำงานเมื่อมีกระแสไหลผิดทิศทาง มีแบบรีเลย์กำลังมีทิศ (Directional power relay) และรีเลย์กระแสมีทิศ (Directional current relay)
  8. รีเลย์ระยะทาง (Distance relay) คือ รีเลย์ระยะทางมีแบบต่างๆ ดังนี้
    1. - รีแอกแตนซ์รีเลย์ (Reactance relay)
    2. - อิมพีแดนซ์รีเลย์ (Impedance relay)
    3. - โมห์รีเลย์ (Mho relay)
    4. - โอห์มรีเลย์ (Ohm relay)
    5. - โพลาไรซ์โมห์รีเลย์ (Polaized mho relay)
    6. - ออฟเซทโมห์รีเลย์ (Off set mho relay)
  9. รีเลย์อุณหภูมิ (Temperature relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้
  10. รีเลย์ความถี่ (Frequency relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานเมื่อความถี่ของระบบต่ำกว่าหรือมากกว่าที่ตั้งไว้
  11. บูคโฮลซ์รีเลย์ (Buchholz ‘s relay) คือรีเลย์ที่ทำงานด้วยก๊าซ ใช้กับหม้อแปลงที่แช่อยู่ในน้ำมันเมื่อเกิด ฟอลต์ ขึ้นภายในหม้อแปลง จะทำให้น้ำมันแตกตัวและเกิดก๊าซขึ้นภายในไปดันหน้าสัมผัส ให้รีเลย์ทำงาน
ภาพของ current relay










วิธีการต่อวงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์

วิธีการต่อวงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์

11.3 วิธีการต่อวงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์(compressor motor circuit)
คอมเพรสเซอร์ที่นิยมใช้ในเครื่องทำความเย็นทั่วไป คือ คอมเพรสเซอร์แบบหุ้มปิด(hermeticcompressor) การต่อวงจรมอเตอร์เพื่อใช้ขับคอมเพรสเซอร์สามารถต่อเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะงานที่ใช้ดังนี้
11.3.1 แบบ RSIR (resistance start –induction run)
วงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์แบบ RSIR ทำงานโดยอาศัยรีเลย์ช่วยสตาร์ตชนิดทำงานด้วยกระแส (Current relay) ขณะเริ่มทำงานรีเลย์จะต่อวงจรให้ทั้งขดลวดรันและขดลวดสตาร์ตครบวงจร สร้างแรงบิดมากพอให้คอมเพรสเซอร์เริ่มทำงานได้ หลังจากนั้นรีเลย์จะตัดวงจรเหลือขดลวดรันทำงานเพียงขดเดียว ใช้ได้เฉพาะคอมเพรสเซอร์ขนาดเล็ก เช่น ที่ใช้ในตู้น้ำเย็น ตู้เย็น ขนาดไม่เกิน 1/3 แรงม้า ซึ่งต้องการกำลังทั้งช่วงสตาร์ตและช่วงทำงานปกติไม่มากนัก

                                                                          รูปที่ 11.9 แสดงการต่อมอเตอร์ แบบ RSIR

11.3.2 แบบ CSIR(capacitor start-induction run)
CSIR เป็นการต่อวงจรมอเตอร์คล้ายกับแบบ RSIR ต่างกันเพียงการเพิ่มคาปาซิเตอร์แบบสตาร์ตต่ออนุกรมระหว่างหน้าสัมผัสของรีเลย์และขดลวดสตาร์ตของมอเตอร์ จึงให้แรงบิดในช่วงเริ่มต้นดีกว่าแบบ RSIR ส่วนช่วงทำงานปกติจะทำงานเหมือนกับแบบ RSIR ใช้งานในเครื่องทำความเย็นขนาดเล็กจนถึงขนาด 3/4 แรงม้า


                                                รูปที่ 11.10 แสดงการต่อมอเตอร์แบบ CSIR

11.3.3 แบบ PSC (permanent split capacitor)
การต่อวงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ แบบ PSC ใช้คาปาซิเตอร์แบบรันต่ออนุกรมโดยถาวรกับขดลวดสตาร์ตของมอเตอร์ คาปาซิเตอร์และขดลวดสตาร์ตจะต้องทำงานตลอดทั้งช่วงสตาร์ตและช่วงทำงานปกติโดยไมมีรีเลย์มาตัดวงจร ขณะทำงานจึงมีกระแสผ่านทั้งขดลวดรันและขดลวดสตาร์ต ทำให้มีกำลังขับดีกว่าแบบ RSIR และ CSIR ใช้ในเครื่องทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึง 5 แรงม้า โดยเฉพาะต้องเป็นระบบที่สามารถถ่ายเทความดันระหว่างด้านความดันสูงและความดันต่ำ (balance pressure) ได้ขณะคอมเพรสเซอร์หยุดทำงาน เช่น ระบบที่ใช้ capillary tube



รูปที่ 11.11 แสดงการต่อมอเตอร์แบบ PSC

11.3.4 แบบ CSR (capacitor start and run)
CSR เป็นการต่อวงจรมอเตอร์คล้ายกับแบบ PSC ต่างกันเพียงการเพิ่มคาปาซิเตอร์แบบสตาร์ตต่ออนุกรมกับขดลวดสตาร์ตของมอเตอร์ โดยมีรีเลย์ช่วยสตาร์ตชนิดทำงานด้วยค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า(Potential relay) เป็นตัวตัดคาปาซิเตอร์ไม่ให้ทำงานหลังจากมอเตอร์เริ่มต้นทำงานและหมุนได้ความเร็วประมาณ 75 % ของความเร็วรอบปกติ เป็นมอเตอร์ที่ใช้กำลังช่วงเริ่มต้นดีกว่าแต่ช่วงปกติจะทำงานเหมือนกับแบบ PSC จึงถูกนำไปใช้กับระบบที่ไม่สามารถ balance pressure ขณะคอมเพรสเซอร์หยุดทำงานได้ เช่น ระบบที่ใช้ลิ้นลดความดันชนิดthermostatic expansion valve

รูปที่ 11.12 แสดงการต่อมอเตอร์แบบ CSR



การต่อวงจรมอเตอร์ทั้ง 4 แบบ สามารถเลือกต่อวงจรให้เหมาะสมกับลักษณะงานได้ เช่น จากวงจรพื้นฐานแบบ RSIR สามารถปรับวงจรเป็นแบบ CSIR ได้ถ้าต้องการให้มอเตอร์ขนาดเล็กมีแรงบิดในช่วงเริ่มต้นทำงานดีขึ้น โดยการเพิ่มคาปาซิเตอร์แบบสตาร์ตในวงจร หรือวงจรพื้นฐานแบบ PSC สามารถปรับวงจรเป็นแบบ CSR ได้เช่นเดียวกันเมื่อต้องการให้มอเตอร์ขนาดใหญ่มีแรงบิดในช่วงเริ่มต้นดีขึ้น โดยการเพิ่มคาปาซิเตอร์แบบสตาร์ตและ potential relay มาต่อในวงจร ซึ่งเขียนเป็นวงจรเปรียบเทียบกันได้ดังรูปที่ 11.13







อุปกรณ์ไฟฟ้าในเครื่องปรับอากาศ

อุปกรณ์ไฟฟ้าในเครื่องปรับอากาศ


 Current Relay

- ป้องกันความเสียหายของ Motor และ Load
- ป้องกันกระแสเกินหรือกระแสตก
- ตั้งหน่วงเวลาได้ 0 -10 วินาที
- ตั้งหน่วงเวลาขณะสตาร์ทได้ 0 - 30 วินาที
- SPDT Relay Output

            Current Relay CR 95 เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ใช้ป้องกันกระแสไฟฟ้าสูงกว่าค่ากำหนด (Over Current) หรือกระแสไฟฟ้าต่ำกว่าค่ากำหนด (Under Current) Current Relay จะตรวจสอบค่ากระแสไฟฟ้า เมื่อกระแสเกินกว่าค่าที่ตั้งไว้ รีเลย์จะทำงานพร้อมทั้งมี LED สีแดงติดสว่าง การตั้งค่ากระแส ใช้ปุ่มปรับ "CURRENT" การทำงานของรีเลย์สามารถตั้งหน่วงเวลาได้ 0 - 10 วินาที โดยปรับปุ่ม "DELAY" นอกจากนี้ยังสามารถตั้งหน่วงเวลา เฉพาะในขณะเริ่มสตาร์ท ("START DELAY") ได้ 0 - 30 วินาที เพื่อป้องกัน Starting Current ทำให้รีเลย์ทำงาน Current Relay สามารถนำไปใช้ป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้าได้หลายลักษณะ เช่น
  • ป้องกันมอเตอร์ Over Load ซึ่งความไวของ Current Relay นี้จะไวกว่าชุด Overload ชนิด Bimetal ที่ใช้ทั่วไปทำให้ สามารถป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับมอเตอร์และโหลดของมอเตอร์ได้ดีกว่า
     
  • ในงานบางอย่าง ถ้ากระแสมีค่าต่ำกว่าปกติ (Under Current) จะเกิดความเสียหายได้ เช่น ฮีทเตอร์ขาด, สายพานขาดหรือปั๊มพ์ทำงานโดยไม่มีของเหลวไหลผ่านซึ่ง Current Relayสามารถใช้ป้องกันความเสียหายเหล่านี้ได้





ฮอตไวร์รีเลย์ (Hot Wire Relay)  





  ส่วนประกอบของแอร์    
ฮอตไวร์รีเลย์ (Hot Wire Relay) 
    หลักการทำงานของฮอตไวร์รีเลย์ขึ้นอยู่กับผลของความร้อนที่เกิดขึ้นกับลวดความร้อน (Hot Wire) ในขณะที่สตาร์ตมอเตอร์ กระแสจะสูงผ่านลวดความร้อนเกิดการขยายตัว ทำให้หน้าสัมผัสของรีเลย์ที่ต่อไปยังขดลวดของมอเตอร์จากออก ซึ่งเป็นการตัดขดลวดสตาร์ตออกจากวงจร 

ฮอตไวร์รีเลย์ประกอบด้วยหน้าสัมผัส 2 ชุดคือ 

1. หน้าสัมผัส S ซึ่งต่อเป็นอนุกรมอยู่กับขดลวดสตาร์ตของมอเตอร์ 
2. หน้าสัมผัส M ซึ่งต่อเป็นอนุกรมอยู่กับขดลวดของมอเตอร์ 

  ตามปกติหน้าสัมผัสทั้งคู่ของรีเลย์ชนิดนี้จะต่อกันอยู่ ฉะนั้นในช่วงจังหวะสตาร์ตมอเตอร์ทั้งขดลวดสตาร์ตและขดลวดรันจึงอยู่กับวงจร ในช่วงจังหวะการสตาร์ตนี้กระแสจะสูง และผ่านลวดความร้อนทำให้เกิดการขยายตัว ดึงเอาหน้าสัมผัส S ให้จากออกซ่วงเป็นการตัดขดลวดสตาร์ตออกจากวงจร ภายหลังจากที่ขดลวดสตาร์ตถูกตัดออกจากวงจรแล้ว กระแสซึ่งผ่านลวดความร้อนและขดลวดรันของมอเตอร์ยังคงทำให้มอเตอร์หมุนตามปกติอยู่ และคงมีความร้อนเพียงพอที่จะพึงให้หน้าสัมผัส S จากอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มากพอที่จะขยายตัวจนหน้าสัมผัส M จากออก  





รีเลย์ช่วยสตาร์ตชนิดทำงานด้วยค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า (Potential Relay)

รีเลย์ช่วยสตาร์ตชนิดทำงานด้วยค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า ใช้ในวงจรที่มอเตอร์ของคอมเพรสเซอร์ต่อแบบ CSR โดยอาศัยค่าความต่างศักย์ที่เกิดจากขดลวดสตาร์ตของมอเตอร์กระทำผ่านขดลวดในรีเลย์ ทำการตัดหน้าสัมผัสในรีเลย์ จึงเรียกรีเลย์ชนิดนี้ว่า Potential Relay

เทอร์โมสตัส อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิภายในตู้เย็น

เทอร์โมสตัสเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิภายในตู้เย็นหรือภายในห้องปรับอากาศให้อยู่ในช่วงที่ต้องการโดยอัตโนมัติ ในขณะที่อุณหภูมิในตู้เย็นหรือในห้องปรับอากาศยังสูงอยู่ หน้าสัมผัสของเทอร์โมสตัสจะต่ออยู่ มอเตอร์คอมเพรสเซอร์จะทำงานดูดอัดสารความเย็น ทำให้เกิดผลความเย็นที่อีวาพอเรเตอร์ และเมื่ออุณหภูมิภายในตู้เย็นหรือในห้องปรับอากาศลดต่ำลงถึงจุดที่ตั้งไว้ หน้าสัมผัสของเทอร์โมสตัสจะแยกจาก ทำให้มอเตอร์คอมเพรสเซอร์หยุดทำงาน จนกระทั้งอุณหภูมิภายในห้องปรับอากาศสูงขึ้นอีก หน้าสัมผัสของเทอร์โมสตัตจะต่ออีกครั้งหนึ่ง ทำให้คอมเพรสเซอร์เริ่มทำงานใหม่ ซึ่งเป็นการควบคุมอุณหภูมิภายในตู้เย็นหรือภายในห้องปรับอากาศให้อยู่ในช่วงที่ต้องการโดยอัตโนมัติ เครื่องปรับอากาศขนาดเล็กในปัจจุบัน ได้นำเอาเทอร์โมสตัสแบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ในการควบคุมอุณหภูมิ

แม็กเนติกคอนแทกเตอร์ (Magnetic Contactor)

แม็กเนติกคอนแทกเตอร์ (Magnetic Contactor) เป็นสวิตซ์อีกชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นขดลวดหรือคอยล์ ซึ่งเมื่อป้อนกระแสไฟฟ้าเข้าในขดลวดแล้วจะเกิดสนามแม่เหล็กขึ้น และอีกส่วนหนึ่งเป็นหน้าสัมผัสของตัวแม็กเนติคอนแทกเตอร์ ทำหน้าที่ตัดหรือต่อวงจรไฟฟ้า กำลังที่ป้อนเข้าโหลด หลักการทำงานของแม็กเนติกคอนแทกเตอร์คือ เมื่อป้อนกระแสไฟฟ้าเข้าในขดลวดจะเกิดสนามแม่เหล็กขึ้นรอบขดลวด มีอำนาจดูดเหล็กอาร์มาเจอร์ (Armature) ซึ่งแกนเหล็กนี้ปลายข้างหนึ่งจะต่ออยู่กับหน้าสัมผัสเคลื่อนที่ (Moving Contact) และปลายอีกข้างหนึ่งวางอยู่บนสปริง ซึ่งจะคอยผลักแกนเหล็กอาร์มาเจอร์ให้หน้าสัมผัสจาก เมื่อขดลวดเกิดสนามแม่เหล็กและมีอำนาจมากกว่าแรงดันสปริง แกนอาร์มาเจอร์จะถูกดูด ทำให้หน้าสัมผัสต่อกัน และเมื่อตัดกระแสไฟฟ้าที่ป้อนเข้าขดลวด อำนาจแม่เหล็กรอบขดลวดจะหมดไป แรงดันสปริงจะผลักแกนเหล็กอาร์มาเจอร์ให้หน้าสัมผัสจากออก
หน้าสัมผัสของแม็กเนติกคอนแทกเตอร์ในหนึ่งตัวอาจจะมีขั้วเพียงขั้วเดียว หรือ 2 ขั้ว หรือ 3 ขั้วก็ได้ และหน้าสัมผัสอาจเป็นแบบปกติเปิดทั้งหมด หรืออาจจะมีทั้งหน้าสัมผัสปกติเปิดและปกติปิดสลับกันก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบและวงจรการควบคุม
การเลือกแม็กเนติกคอนแทกเตอร์เพื่อใช้งานต้องคำนึงถึงหลักเบื้องต้นดังนี้
  1. ขนาดของแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ป้อนเข้าขดลวดของแม็กเนติกคอนแทกเตอร์ จะมีขนาด คือ 6 โวลต์ DC, 12 โวลต์ DC, 24 โวลต์ AC, 48 โวลต์ AC, 220 โวลต์ AC และ 380 โวลต์ AC เป็นต้น
  2. ขนาดการทนกระแสของหน้าสัมผัส จะขึ้นอยู่กับการกินกระแสของโหลดที่ต้องการควบคุมซึ่งมีขนาดคือ 20, 25, 30, 40, 50 และ 60 แอมแปร์ หรือมากกว่าขึ้นไป เป็นต้น
  3. จำนวนขั้วของหน้าสัมผัส จะขึ้นอยู่กับจำนวนสายไฟที่ต้องการควบคุมการตัด-ต่อ เช่น ถ้าต้องการตัด – ต่อวงจรที่มีสายไฟ 3 เส้น ก็ต้องใช้หน้าสัมผัส 3 ขั้ว เป็นต้น
  4. ชนิดของหน้าสัมผัสจะขึ้นอยู่กับโหลดที่ต้องการใช้งาน และขนาดของกระแสไฟ

รีเลย์ (Relay) ทีใช้ในงานเครื่องทำความเย็น

รีเลย์ (Relay) ทีใช้ในงานเครื่องทำความเย็นจะต่อเข้ากับวงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ เพื่อทำหน้าที่ตัดไฟฟ้าซึ่งเข้าเลี้ยงขดลวดสตาร์ตออกจากวงจรเมื่อมอเตอร์หมุนออกตัวได้แล้ว เช่นเดียวกับสวิตซ์แรงเหวี่ยงหนีศูนย์ที่อยู่ภายในมอเตอร์ ซึ่งจะคอยตัดขดลวดสตาร์ตออกจากววจรโดยอัตโนมัติ เมื่อมอเตอร์หมุนและมีความเร็วรอบตามเกณฑ์แล้ว แต่โดยที่มอเตอร์คอมเพรสเซอร์แบบเฮอร์เมติกไม่สามารถติดตั้งสวิตซ์แรงเหวี่ยงหนีศูนย์เข้าไว้ภายในตัวเรือนได้ จึงจำเป็นต้องใช้รีเลย์ต่อเข้ากับวงจรภายนอกทำหน้าที่แทน ซึ่งรีเลย์ที่พบใช้ในงานเครื่องทำความเย็น แบ่งออกได้ดังนี้
  1. เคอร์เรนต์รีเลย์ (Current Relay)
  2. โพเทนเชียลรีเลย์ (Potential Relay)
  3. ฮอตไวร์รีเลย์ (Hot Wire Relay)
ตามปกติขดลวดสตาร์ตของมอเตอร์ควรจะมีไฟเลี้ยงในจังหวะสตาร์ตเพียงช่วงสั้น ๆ ประมาณ 3-4 วินาที เพราะถ้าปล่อยให้กระแสไฟฟ้าผ่านเข้าเลี้ยงขดลดสตาร์ตนานเกินไป ขดลวดสตาร์ตอาจร้อนจัด ทำให้เกิดอันตรายต่อมอเตอร์ได้ ฉะนั้นในการทำงานที่ถูกต้อง รีเลย์ที่ใช้ต้องให้ได้ขนาดพอดีกับมอเตอร์ การซ่อมเปลี่ยนรีเลย์ใหม่จะต้องแน่ใจว่ารีเลย์ใหม่นี้มีขนาดและคุณสมบัติในการใช้งานเท่ากับรีเลย์ตัวเดิมเสมอ

โอเวอร์โหลด อุปกรณ์ป้องกันมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ชำรุด

โอเวอร์โหลดเป็นอุปกรณ์ป้องกันไม่ให้มอเตอร์คอมเพรสเซอร์เกิดการชำรุดเสียหายเมื่อระบบเครื่องทำความเย็นเกิดการขัดข้อง และถ้ามอเตอร์คอมเพรสเซอร์กินกระแสมากเกินไปโอเวอร์โหลดจะตัดวงจรไฟที่ป้อนเข้ามอเตอร์คอมเพรสเซอร์ก่อนที่ขดลวดของมอเตอร์จะไหม้
หลักการทำงานของโอเวอร์โหลดจะอาศัยหลักของโลหะ 2 ชนิดที่มีสัมประสิทธิ์การขยายตัวไม่เท่ากันมาตรึงติดกัน ในขณะที่มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ทำงานเป็นปกติ หน้าสัมผัสของโอเวอร์โหลดจะมีไฟเข้าเลี้ยงขดลวดของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์อยู่ตลอดเวลา และถ้ามอเตอร์คอมเพรสเซอร์กินกระแสมากเกินไปจะเกิดความร้อน โลหะทั้งสองชนิดจะขยายตัวไม่เท่ากันและจะเกิดการงอตัว ทำให้หน้าสัมผัสจากออกเพื่อตัดวงจรไฟที่เข้าเลี้ยงขดลวดของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ ป้องกันไม่ให้ขดลวดของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ไหม้และอุณหภูมิของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์เย็นลง โลหะทั้งสองชนิดจะเกิดการหดตัวดึงให้หน้าสัมผัสของโอเวอร์โหลดต่อกันอีกครั้งหนึ่ง ทำให้มีไฟเข้าเลี้ยงขดลวดของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ใหม่ และถ้าอาการขัดข้องของระบบเครื่องทำความเย็นยังไม่ได้รับการแก้ไข โอเวอร์โหลดจะตัด-ต่อวงจรอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้องรีบตัดไฟเข้าเครื่องหรือถอดปลั๊กไฟออก และตรวจหาข้อขัดข้องทันที

โอเวอร์โหลด

โอเวอร์โหลด

6.2 โอเวอร์โหลดทำงานด้วยความร้อน(Thermal Overload Relay)
     โอเวอร์โหลดประกอบด้วยขดลวดความร้อน
(Heater) พันอยู่บนแผ่นไบเมทัล (Bimetal) ซึ่งทำ
จากโลหะ 2 ชนิดเชื่อมติดกันโก่งตัวได้เมื่อเกิด
ความร้อนขึ้น ขดลวดความร้อนเป็นทางผ่านของ
กระแสจากแหล่งจ่ายไปยังมอเตอร์ เมื่อกระแส
ที่ไหลเข้ามอเตอร์มีค่าสูง ทำให้ชุดขดลวดความร้อน
เกิดความร้อนสูงขึ้น เป็นผลให้แผ่นไบเมทัลร้อน
และโก่งตัวดันให้หน้าสัมผัสปกติปิดของโอเวอร์โหลด
ที่ต่ออนุกรมอยู่กับวงจรควบคุมเปิดวงจร ตัดกระแส
ออกจากคอล์ยแม่เหล็กของคอนแทกเตอร์ จึงทำให้
หน้าสัมผัสหลัก (Main Contact) ของคอนแทกเตอร์
ปลดมอเตอร์ออกจากแหล่งจ่ายเป็นการป้องกัน
มอเตอร์จากความเสียหายได้

     โอเวอร์โหลดรีเลย์มีทั้งแบบธรรมดา คือ เมื่อ
แผ่นไบเมทัลงอไปแล้วจะกลับมาอยู่ตำแหน่ง
เดิม เมื่อเย็นตัวลงเหมือนในเตารีด กับแบบที่มี
รีเซ็ท (Reset) คือ เมื่อตัดวงจรไปแล้ว หน้าสัมผัส
จะถูกล็อกเอาไว้ ถ้าต้องการจะให้วงจรทำงานอีกครั้ง
ทำได้โดยกดที่ปุ่ม Reset ให้หน้าสัมผัสกลับมาต่อ
วงจรเหมือนเดิม 


สัญลักษณ์ของโอเวอร์โหลดรีเลย์แบบมี Reset

   ลักษณะเมื่อเกิดการโอเวอร์โหลดหน้าสัมผัส
จะเปิดออกและจะถูกล็อกเอาไว้ ถ้าต้องการให้

Over Load Relay โอเวอร์โหลดรีเลย์ (Over Load relay)

โอเวอร์โหลดรีเลย์ (Over Load relay) คืออะไร

โอเวอร์โหลด (Over Load relay) เป็นอุปกรณ์ป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้า เกินกำลังหรือป้องกันมอเตอร์ ไม่ให้เกิดการเสียหาย เมื่อมีกระแสไหลเกินพิกัด โดยมีส่วนประกอบภายนอกที่สำคัญ ของโอเวอร์โหลดรีเลย์ ดังนี้
1. ปุ่มปรับกระแส(RC.A)
2. ปุ่มทริพ(TRIP)
3. ปุ่มรีเซ็ท(RESET)
4. จุดต่อไฟเข้าเมนไบมีทอล
5. จุดต่อไฟออกจากเมนไบมีทอล
6. หน้าสัมผัสช่วยปกติปิด(N.O.)
7. หน้าสัมผัสช่วยปกติเปิด(N.C.)
overload_relay

หลักการทำงาน 
โอเวอร์โหลดมี ขดลวดความร้อน (Heater) พันกับแผ่นไบเมทัล (Bimetal)(แผ่นโลหะผลิตจากโลหะต่างชนิดกันเชื่อมติดกัน เมื่อได้รับความร้อนแผ่นโลหะจะโก่งตัว ขดลวดความร้อนซึ่งเป็นทางผ่านของกระแสไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟไปมอเตอร์ เมื่อกระแสไหลเข้าสูงในระดับค่าหนึ่ง ส่งผลขดลวดความร้อนทำให้แผ่นไบเมทัลร้อน และ โก่งตัว ดันให้หน้าสัมผัสปกติปิด N.C. ของโอเวอร์โหลดที่ต่ออนุกรมอยู่กับแผงควบคุมเปิดวงจร ตัดกระแสไฟฟ้า จากคอล์ยแม่เหล็กของคอนแทกเตอร์ ทำให้หน้าสัมผัสหลัก (Main Contact) ของคอนแทกเตอร์ ปลดมอเตอร์ออกจากแหล่งจ่าย ไฟ ป้องกันมอเตอร์ความเสียหาย จากไฟเกินได้ 

ชนิดของ Overload Relay

โอเวอร์โหลดรีเลย์แบบธรรมดา คือ เมื่อแผ่นไบเมทัลงอไปแล้วจะกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม เมื่อเย็นตัวลงเหมือนในเตารีด 
ภาพ Overload Relay

โอเวอร์โหลดรีเลย์แบบที่มีรีเซ็ท (Resetคือ เมื่อตัดวงจรไปแล้ว หน้าสัมผัสจะถูกล็อกเอาไว้ ถ้าต้องการจะให้วงจรทำงานอีกครั้ง ทำได้โดยกดที่ปุ่ม Reset ให้หน้าสัมผัสกลับมาต่อวงจรเหมือนเดิม 
อุปกรณ์ไฟฟ้าโรงงานอุตสาหกรรม
สัญลักษณ์ แบบมี Reset
อุปกรณ์ไฟฟ้าโรงงาน โอเวอร์โหลด รีเลย์
เมื่อไฟเกิน หน้าสัมผัสเปิด ต้องกด Reset

Magnetic Contactor Relay แมกเนติกคอนแทกเตอร์ รีเลย์

แมกเนติกคอนแทกเตอร์ (Magnetic Contactor) และ รีเลย์(Relay)

 


แมกเนติกคอนแทกเตอร์ (Magnetic Contactor)
       มกเนติกคอนแทกเตอร์ (Magnetic Contactor) หรือแมกเนติกสวิทซ์ (Magnetic Switch)เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการตัดต่อวงจรไฟฟ้า ในการปิดเปิดของหน้าสัมผัสนั้นอาศัยจะอำนาจแรงแม่เหล็ก สามารถประยุกต์ใช้กับวงจรควบคุมต่างๆ เช่น วงจรควบคุมมอเตอร์ เป็นต้น
ส่วนประกอบสำคัญของแมกเนติกคองแทกเตอร์ (Magnetic Contactor)
 
1. Coil หรือ ขดลวดสำหรับสร้างสนามแม่เหล็ก
2. Spring เป็นสปริงสำหรับผลัก Moving Contact ออกเมื่อไม่มีกระแสไปเลี้ยง Coil
3. Moving Core เป็นแกนเหล็กที่สามารถเคลื่อนที่ได้
4. Contact หรือ หน้าสัมผัส เป็นส่วนประกอบที่ใช้ตัดต่อวงจรไฟฟ้า
5. Stationary Core เป็นแกนเหล็กที่อยู่กับที่
 
 
หลักการทำงานของแมกเนติกคองแทกเตอร์ (Magnetic Contactor)
      เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปยังขดลวดสนามแม่เหล็ก(Solidnoid)  ที่ขากลางของแกนเหล็กจะสร้างสนามแม่เหล็กที่แรงสนามแม่เหล็กจะสามารถชนะแรงสปริงได้ ดึงให้แกนเหล็กชุดที่เคลื่อนที่ (Moving Contact) เคลื่อนที่ลงมาพร้อมกับหน้าสัมผัส คอนแทคทั้งสองชุดจะเปลี่ยนสภาวะการทำงานคือ คอนแทคปกติปิดจะเปิดวงจรจุดสัมผัสออก และคอนแทคปกติเปิดจะต่อวงจรของจุดสัมผัส เมื่อไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าไปยังขดลวด สนามแม่เหล็กคอนแทคทั้งสองชุดก็จะกลับไปสู่สภาวะเดิม ดังรูปข้างล่าง
การทำงานของรีเลย์
          เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์มีหลักการทำงานคล้ายกับ ขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าหรือโซลินอยด์ (solenoid) หรือสามารถเรียกว่าเป็นแมกเนติกคอนแทกชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้ รีเลย์ใช้ในการควบคุมวงจร ไฟฟ้าได้อย่างหลากหลาย รีเลย์เป็นสวิตช์ควบคุมที่ทำงานด้วยไฟฟ้า แบ่งออกตามลักษณะการใช้งานได้เป็น 2 ประเภทคือ
  • รีเลย์กำลัง (power relay)หรือมักเรียกกันว่าคอนแทกเตอร์ (Contactor or Magneticcontactor)ใช้ในการควบคุมไฟฟ้ากำลัง มีขนาดใหญ่กว่ารีเลย์ธรรมดา
  • รีเลย์ควบคุม (control Relay) มีขนาดเล็กกำลังไฟฟ้าต่ำ ใช้ในวงจรควบคุมทั่วไปที่มีกำลังไฟฟ้าไม่มากนัก หรือเพื่อการควบคุมรีเลย์หรือคอนแทกเตอร์ขนาดใหญ่ รีเลย์ควบคุม บางทีเรียกกันง่ายๆ ว่า "รีเลย์"
การแบ่งชนิดของรีเลย์สามารถแบ่งได้ 11 แบบ คือ
    ชนิดของรีเลย์แบ่งตามลักษณะของคอยล์ หรือ แบ่งตามลักษณะการใช้งาน (Application) ได้แก่รีเลย์ดังต่อไปนี้
 รีเลย์กระแส (Current relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยใช้กระแสมีทั้งชนิดกระแสขาด (Under- current) และกระแสเกิน (Over current)
รีเลย์แรงดัน (Voltage relay) คือ รีเลย์ ที่ทำงานโดยใช้แรงดันมีทั้งชนิดแรงดันขาด (Under-voltage) และ แรงดันเกิน (Over voltage)
รีเลย์ช่วย (Auxiliary relay) คือ รีเลย์ที่เวลาใช้งานจะต้องประกอบเข้ากับรีเลย์ชนิดอื่น จึงจะทำงานได้
รีเลย์กำลัง (Power relay) คือ รีเลย์ที่รวมเอาคุณสมบัติของรีเลย์กระแส และรีเลย์แรงดันเข้าด้วยกัน
รีเลย์เวลา (Time relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4แบบ คือ
รีเลย์กระแสเกินชนิดเวลาผกผันกับกระแส (Inverse time over current relay) คือ รีเลย์ ที่มีเวลาทำงานเป็นส่วนกลับกับกระแส
รีเลย์กระแสเกินชนิดทำงานทันที (Instantaneous over current relay) คือรีเลย์ที่ทำงานทันทีทันใดเมื่อมีกระแสไหลผ่านเกินกว่าที่กำหนดที่ตั้งไว้
รีเลย์แบบดิฟฟินิตไทม์เล็ก (Definite time lag relay) คือ รีเลย์ ที่มีเวลาการทำงานไม่ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของกระแสหรือค่าไฟฟ้าอื่นๆ ที่ทำให้เกิดงานขึ้น
รีเลย์แบบอินเวอสดิฟฟินิตมินิมั่มไทม์เล็ก (Inverse definite time lag relay) คือ รีเลย์ ที่ทำงานโดยรวมเอาคุณสมบัติของเวลาผกผันกับกระแส (Inverse time) และ แบบดิฟฟินิตไทม์แล็ก (Definite time lag relay) เข้าด้วยกัน
รีเลย์กระแสต่าง (Differential relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยอาศัยผลต่างของกระแส
รีเลย์มีทิศ (Directional relay) คือรีเลย์ที่ทำงานเมื่อมีกระแสไหลผิดทิศทาง มีแบบรีเลย์กำลังมีทิศ (Directional power relay) และรีเลย์กระแสมีทิศ (Directional current relay)
รีเลย์ระยะทาง (Distance relay) คือ รีเลย์ระยะทางมีแบบต่างๆ ดังนี้
รีแอกแตนซ์รีเลย์ (Reactance relay)
อิมพีแดนซ์รีเลย์ (Impedance relay)
โมห์รีเลย์ (Mho relay)
โอห์มรีเลย์ (Ohm relay)
โพลาไรซ์โมห์รีเลย์ (Polaized mho relay)
ออฟเซทโมห์รีเลย์ (Off set mho relay)
- รีเลย์อุณหภูมิ (Temperature relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้
- รีเลย์ความถี่ (Frequency relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานเมื่อความถี่ของระบบต่ำกว่าหรือมากกว่าที่ตั้งไว้
 
- บูคโฮลซ์รีเลย์ (Buchholz ‘s relay) คือรีเลย์ที่ทำงานด้วยก๊าซ ใช้กับหม้อแปลงที่แช่อยู่ในน้ำมันเมื่อเกิด      ฟอลต์ ขึ้นภายในหม้อแปลง จะทำให้น้ำมันแตกตัวและเกิดก๊าซขึ้นภายในไปดันหน้าสัมผัส ให้รีเลย์ทำงาน